วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ผู้จัดทำ


สมาชิกผู้จัดทำ

           นางสาวจุฑารัตน์      แก้วนพรัตน์         ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/1     เลขที่   5 
          นางสาวกันทิชา        ทองกอบ              ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/1    เลขที่  13
          นางสาวภัทรวดี         ดำคล้าย              ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/1     เลขที่ 15
          นางสาวศิริลักษณ์     ปิ่นทอง                ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/1     เลขที่ 21

โรงเรียนนวมินทราชูทิศ  ทักษิณ

สถานที่ท่องเที่ยว

1. ประเทศบรูไนดารุสซาลาม(Negara Brunei Darussalam) 


มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque

              มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque มัสยิดที่สง่างาม และศักดิ์สิทธิ์ของชาวบรูไน ที่ใช้งบประมาณในการสร้างมหาศาล โดยมีการนำเข้าวัสดุการก่อสร้างและตกแต่งจากทั่วทุกมุมโลกใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 7 ปี มีห้องสวดมนต์ 2 ห้องแยกชายและหญิงบันไดทางขึ้นแต่ละชั้นจะมี 29 ขั้น ห้องละหมาดด้านบนตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยพรมสีเหลืองทองดูสว่างไสว จากนั้นนำท่านชมมัสยิด โอมาร์ อาลี ไซฟูดติน มัสยิดเก่าแก่อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบรูไนตั้งอยู่ใจกลางกรุงบันดาร์ เสรีเบกาวัน มัสยิดหลังนี้ออกแบบและดำเนการสร้างโดยสุลต่านโอมาร์ อาลี ไซฟัดดินที่ 3 ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปนิกสมัยใหม่ของบรูไน และเป็นพระราชบิดาของสุลต่านองค์ปัจจุบัน และมัสยินนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1958 มีความงดงามจนได้ชื่อว่า มินิทัชมาฮาล

บรูไนมิวเซียม (Brunei Museum)

             บรูไนมิวเซียม (Brunei Museum) ภายในแยกส่วนจัดแสดงเป็น 5 ส่วนที่โดดเด่นที่สุดคือIslamic Arts Gallery ที่รวบรวมของสะสมโบราณล้ำค่าขององค์สุลต่านจากประเทศมุสลิมทั่วโลกมาแสดงไว้มากมาย , คัมภีร์อัลกุระอ่านขนาดเล็กที่สุดในโลก , หุ่นจำลองวัฒนธรรมประเพณีของชาวบรูไนตั้งแต่แรกเกิด การแต่งงานฯอีกห้องที่พลาดไม่ได้คือห้องที่รวบรวมประวัติการค้นพบน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลที่พลิกโฉมบรูไนให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกชมแบบจำลองขบวนการผลิตแท่น 

2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)


เสียมราฐ

             เสียมราฐ ชื่อท้องถิ่น คือ เสียมเรียบ เป็นจังหวัดทางตะวันตกเฉียงเหนือของ ประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเขมร เป็นที่ตั้งของ นครวัด ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ นครวัด ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชม นครวัด ราว 1,600,000 คน

ปราสาทตาพรหม

             ปราสาทตาพรหม ปราสาทหินซึ่งสร้างปี พ.ศ. 1729 เป็นพุทธสถานและวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมแห่งนี้อยู่ที่ตัวปราสาทซึ่งถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ เนื่องจากบริเวณที่สร้างปราสาทนั้นเคยมีสภาพเป็นป่า จึงต้องเคลียร์พื้นที่โดยการตัดต้นไม้ออก แต่สุดท้ายมนุษย์ก็ต้านแรงธรรมชาติไม่ไหว ต้นไม้ที่เกาะกุมชอนไชไปตามส่วนต่างๆ ของปราสาท ส่งผลให้บรรยากาศของ ปราสาทตาพรหม สวยงามปนความลึกลับ

3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) 


บาหลี

             บาหลี    เป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับทุกคน เด็ก ผู้ใหญ่และคู่ฮันนีมูล ฯลฯ  บาหลีมีวัฒนธรรม  มีความสนุก  มีธรรมชาติสวยๆ  มีเอกลักษณ์ที่จะหาไม่ได้จากที่อื่น บาหลีมีที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ทุกมุมของบาหลีมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย รอบๆเกาะยังมีที่ดำน้ำ ที่เล่นเซิร์ฟสำหรับนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวก็มีล่องแก่ง มีเดินป่า ไต่เขา และที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนชอบมาก  คือ ช็อปปิ้ง ที่บาหลีเป็นสวรรค์ของนักช็อปปิ้งจริงๆ คนบาหลีแท้ๆ ซื่อสัตย์ ใจดี ยิ้มง่าย เชื่อในเรื่องเวรกรรมบาปบุญ มีปัญหาเรื่องขโมย เรื่องโกง เป็นเพราะ คนจากเกาะอื่นที่มาทำมาหากินที่บาหลี  มาเที่ยวบาหลีทุกคนมีกิจกรรมทำได้ตลอด   ฝ่ายชายไปเล่นกอล์ฟ ฝ่ายหญิงไปช็อปปิ้งหรือเข้าสปา ลูกๆก็ไปเล่นน้ำ

บูนาเคน

    บูนาเคน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุลาเวสี ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของผู้รักท้องทะเลอย่างแท้จริง เพราะเป็นบริเวณที่เหมาะกับการดำน้ำมากที่สุดในอินโดนิเซีย เกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานทางทะเลของบูนาเคน ที่ซึ่งคุณจะได้เห็นเหล่าปลาชนิดต่าง ๆ มากมายกว่า 70 สายพันธ์ที่อาศัยอยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิคตะวันตก โดยที่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปดำน้ำที่บูนาเคน คือ ช่วงเดือนเมษายน และเดือนพฤศจิกายน

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People’s Democratic Republic)


สีพันดอน

             สีพันดอนเป็นบริเวณที่มีเกาะเล็กๆอยู่รวมกันมากมายหลายเกาะ ซึ่งสีพันดอนตั้งอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของลาว ที่นี่มีน้ำตกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วย นั่นก็คือ น้ำตกคอนพะเพ็ง (สาระน่ารู้ของน้ำตกคอนพะเพ็ง – ความสูงประมาณ 21 เมตร กระแสน้ำไหลเชี่ยว 9.7 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปริมาณน้ำตกลงมาด้วยความเร็วประมาณ 11,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที) ในบริเวณนี้มีสัตว์น้ำหายากอย่าง ปลาค้อคอนพะเพ็งและปลาโลมาอิรวดีอีกด้วย เกาะที่สำคัญๆที่มีสถานที่บริการนักท่องเที่ยวก็คือ ดอนเดด, ดอนคอน และ ดอนโขง ทั้งสามเกาะนี้มีบังกะโลที่เปิดบริการโดยคนท้องถิ่น แถมส่วนมากจะมีจักรยานและเรือคายัคให้บริการเช่าแก่ผู้ที่สนใจผจญภัยทั้งทางบกและทางน้ำ

เมืองหลวงพระบาง

           เมืองหลวงพระบางตั้งอยู่ในจุดที่แม่น้ำโขงและแม่คานมาบรรจบกันและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมที่สุดของนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งเมืองหลวงพระบางเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์และเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศลาวมาก่อน ที่เมืองหลวงพระบางมีวัดและสถานที่ทางพุทธศาสนาอยู่มากมายหลายแห่ง ซึ่งก็คล้ายกับเมืองไทยในเขตชนบท เพราะจะได้เห็นพระออกมาบิณบาท เดินเท้าเปล่ากันในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น ทำให้ได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ของชาวพุทธได้เป็นอย่างดีกว่าที่ไหนๆในเมืองไทยซะด้วยซ้ำ นอกจากนั้นรอบๆเมืองหลวงพระบางยังมีน้ำตกให้เยี่ยมชม มีบริการให้ขี่ช้างท่องเที่ยวอีกด้วย และในช่วงยามค่ำคืนของที่นี่ ก็ยังมีไนท์มาเก็ตให้ไปเที่ยว ไปเลือกซื้อของฝากลาวกลับไทยอีกด้วย ยิ่งถ้าคุณเป็นนักชิมของแปลกด้วยหละก็ ที่ตลาดยังมี มอสส์ (พืชขนาดเล็กขึ้นตามที่ชื้นแฉะ) จากแม่น้ำโขงนำมาทอด ซึ่งเป็นอาหารจานโปรดของที่นี่ ให้ได้ซื้อชิมกันอีกด้วย

5.  ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)


เกาะปีนัง

          เกาะปีนังบริเวณช่องแคบมะละกา ทางตอนใต้ของชายฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือประเทศมาเลเซีย คือ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเมืองจอร์จทาวน์บนเกาะแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งก็ว่าได้ แถมจากการที่มันเป็นแหล่งขนส่งติดต่อกับชาวต่างชาติ ยังทำให้ปีนังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายอีกต่างหาก

กูชิง (Kuching)

         เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเกาะบอร์เนียว เป็นที่พักที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจจะอยู่ระยะยาว และเที่ยวชมมาเลเซียให้ทั่วสักหน่อย คุณสามารถแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ เช่น วัดโทวเปกกง วัดจีนที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด หรือ เดวาน อันดันกัน เนเกรี อาคารราชการที่มีรูปทรงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

6. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)


อุทยานธรรมชาติปะการังตุบบาตาฮา (Tubbataha Reef)

              หากชื่นชอบการดำน้ำชมปะการัง อย่าลืมแวะเวียนมาที่ทะเลซูลู (Sulu Sea) เพราะมันเป็นที่ตั้งของอุทยานธรรมชาติปะการังตุบบาตาฮา ปะการังวงแหวนอันสวยงามและมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังคงความสมบูรณ์ รวมทั้งมีปลาทะเลมากมายหลายสายพันธุ์ โดยอุทยานแห่งชาติปะการังตุบบาตาฮาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาดำน้ำชมปะการังในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน นั่นก็เพราะว่าช่วงเวลาดังกล่าวทะเลมีคลื่นลมสงบนั่นเอง

อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โตปรินเซซา

            อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โตปรินเซซา ตั้งอยู่ทางชายฝั่งด้านเหนือของเกาะปาลาวัน และยังถือเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เพราะนอกจากบรรยากาศดี ๆ รอบด้านแล้ว คุณยังจะได้เห็นอันซีนฟิลิปปินส์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำใต้ดินที่มีความยาวที่สุดในโลก, สัตว์ป่านานาชนิด รวมถึงค้างคาวด้วย นับเป็นความหลากหลายทางธรรมชาติที่หาดูได้ยาก อีกทั้งไม่ควรพลาดกับการนั่งเรือเข้าไปชมความงดงามของหินงอกหินย้อยรูปร่างต่าง ๆ ที่รับรองว่าทำให้จินตนาการของคุณไม่หยุดนิ่งแน่นอน


7. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) 


มารีน่า เบย์ แซนด์ส

       รีสอร์ทห้าดาวริมอ่าวแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นโครงการสร้างระดับชาติของสิงคโปร์เลยทีเดียวเพราะนอกจากจะมีโรงแรมใหญ่ถึง 3 หลังเชื่อมต่อกัน ยังนับเป็นอภิมหาศูนย์รวมความบันเทิง เพราะมีทั้งคาสิโนระดับสากล สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ เดอะ แซนด์ส สกายพาร์ค (The Sands Sky Park) สระว่ายน้ำหรูกลางแจ้งที่สูงที่สุดของโลก โรงภาพยนตร์ โรงละคร ภัตตาคาร ร้านอาหาร ศูนย์การค้า ร้านสินค้าแบรนด์เนมจากทั่วโลก ลานสเก็ตน้ำแข็ง พิพิธภัณฑ์ศิลปะและวิทยศาสตร์ (Art Science Museum) แห่งแรกของโลก ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ที่หากได้ไปเยือนสิงคโปร์แล้วไม่ควรพลาด

ออชาร์ด (Orchard)

           ถนนสายเกษตรกรรมที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยคราคร่ำไปด้วยสวนพริกไทยและเครื่องเทศ แต่ปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นถนนช้อปปิ้งเส้นหลักของเมืองสิงคโปร์ เส้นทาง 2.2 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไม่ว่าคุณกำลังมาตามหาหมูแผ่นอบน้ำผึ้งชั้นดีสูตรจีนโบราณ หรือแฟชั่นเสื้อผ้าฤดูกาลล่าสุด สารพัดร้านค้าบนถนนออชาร์ดนี้ มีให้คุณเลือกแวะชม และจับจ่ายได้อย่างเพลิดเพลินและไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

8. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) 



วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

             พระอารามหลวงในบริเวณพระบรมมหาราชวังแห่งนี้  เป็นหนึ่งในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรกๆ ของประเทศ ที่เปิดเผยออกสู่สายตาของชาวโลกเมื่อแรกเริ่มมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 50 ปีก่อน นอกจากความสำคัญในฐานะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร "พระแก้วมรกต" สถาปัตยกรรมหลายยุคหลายสมัยที่สร้างเสริมสืบต่อกันมาและการตกแต่งประดับประดาอันอลังการ ก็เป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดใจ โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนังรอบพระระเบียงคด เรื่องรามเกียรติ์อันวิจิตรตระการตาและมีความยาวที่สุดในโลก

ตลาดร่มหุบ

             ตลาดร่มหุบ หรือ ตลาดแม่กลอง น่าจะเป็นสถานที่จับจ่ายสินค้าที่ชวนหวาดเสียวที่สุดในโลก ไม่น่าจะเกินจริงแต่อย่างใด เพราะเหล่าบรรดาแม่ค้าพ่อค้า ต่างตั้งแผงสองข้างทางรถไฟ ส่วนลูกค้าก็อาศัยทางรถไฟนี่ล่ะเป็นถนน ไว้เดินดูของกินของใช้ และความระทึกยังไม่สิ้นสุดลงแค่นี้ ในเมื่อรถไฟมา พ่อค้าแม่ค้าก็รีบเก็บร้าน และหุบร่มของตน เมื่อขบวนรถผ่านไป จึงจะกางร่ม ซึ่งระยะห่างระหว่างรถไฟกับแผงร้านค้าห่างกันไม่ถึง 2 เมตร ด้วยซ้ำ!

9. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)



อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay)

           อ่าวฮาลอง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ของพันธุ์สัตว์ เพราะมีความหลากหลายทางชีวภาพ จนยูเนสโกต้องยกย่องให้เป็นมรดกโลก อ่าวนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม และอยู่ไม่ห่างจากเขตแดนของประเทศจีนมากนัก จุดเด่นของอ่าวนี้ คือ มีเกาะหินปูนโผล่ขึ้นกระจาย ๆ ทั่วอ่าว ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,500 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ ยังได้รับคำชื่นชมจากนักท่องเที่ยวว่ามีบรรยากาศที่สวยงามเกินจริง เสมือนฉากในตอนจบของภาพยนตร์ซึ่งมีแสง สี ที่ลงตัวสุด ๆ เลยทีเดียว

ภูเขาทรายสองสีที่หมุยแหน (The Sand Dunes of Mui Ne)

           นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังที่แห่งนี้รับรองได้เลยว่าจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับทะเลทราย เพราะภูเขาทรายที่หมุยแหนหรือที่หลายคนคุ้นเคยกับสำเนียง "มุยเน่" นั้น มีขนาดใหญ่และอยู่ติดกับชายทะเล จึงมีแดดและลมที่แรงมากทีเดียว ที่นี่มีเนินทรายอยู่ 2 แห่ง คือ ภูเขาทรายขาวและภูเขาทรายแดง ซึ่งภูเขาทรายขาวนั้นมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Bau Trang และมีร้านอาหารขนาดเล็กเปิดบริการสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย สำหรับภูเขาทรายแดงแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่า แต่เป็นที่นิยมมากกว่าในสายตาของช่างภาพ เนื่องจากสีทรายมีสีแดงเข้ม ถ่ายรูปออกมาแล้วสีสวยกว่าที่ภูเขาทรายขาว ส่วนกิจกรรมยอดฮิต คือ การเล่นกระดานเลื่อนบนเนินทรายสูงลงมาด้านล่าง ซึ่งอุปกรณ์สำหรับเล่นนั้นสามารถหาเช่าได้จากร้านที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ภูเขาทราย

10. สหภาพพม่า (Union of Myanmar) 



มหาเจดีย์ชเวดากอง

         พระมหาเจดีย์นี้ เป็นสิ่งที่เคารพสูงสุดของชาวพม่า ซึ่งได้บรรจุพระเกศาธาตุรวม 8 เส้นของพระพุทธเจ้า มีประวัติเก่าแก่กว่า 2000 พันปี เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพม่า “ชเวดากอง” แปลว่า “เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง” โดยมีที่มาว่า พระมหากษัตริย์ของพม่าและมอญที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จะต้องถวายทองคำหนักเท่าน้ำหนักของพระองค์เอง เพื่อนำมาห่อหุ้มองค์พระเจดีย์


หาดงาปาลี

             เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของพม่า ในเขตปกครองของรัฐยะไข่ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศ มีหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งยังดำรงวิถีชีวิตและการประมงแบบพื้นบ้านอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean) ได้อย่างชัดเจนจากชายหาดฮาปาลีแห่งนี้

แหล่งที่มา : http://www.skyscanner.co.th
                     http://travel.mthai.com/blog/72749.html

ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน



ดอกซิมปอร์
บรูไนดารุสซาลาม (Negara Brunei Darussalam) 
              ดอกไม้ประจำชาติบรูไน ก็คือ ดอกซิมปอร์ (Simpor) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดอกส้านชะวา (Dillenia) ดอกไม้ประจำท้องถิ่นบรูไน ที่มีกลีบขนาดใหญ่สีเหลือง หากบานเต็มที่แล้วกลีบดอกจะมีลักษณะคล้ายร่ม พบเห็นได้ตามแม่น้ำทั่วไปของบรูไน มีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผล หากใครแวะไปเยือนบรูไน จะพบเห็นได้จากธนบัตรใบละ 1 ดอลลาร์ ของประเทศบรูไน และในงานศิลปะพื้นเมืองอีกด้วย


 ดอกลำดวน 
ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)
              กัมพูชามีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกลำดวน (Rumdul) ดอกไม้สีขาวปนเหลืองนวล กลีบดอกหนาทึบและแข็งเล็กน้อย มีกลิ่นหอมเย็นแบบกรุ่น ๆ ถูกจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งเพราะมีความหมายถึงความสดชื่นหอมกรุ่น และเป็นดอกไม้สำหรับสุภาพสตรี วิธีปลูกที่ถูกต้อง ต้องปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ที่สำคัญต้องปลูกในวันพุธด้วยนะ

ดอกกล้วยไม้ราตรี
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) 
              ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย คือ ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid) ซึ่งเป็นหนึ่งในดอกกล้วยไม้ที่บานอยู่ได้นานที่สุด โดยช่อดอกนั้นสามารถแตกกิ่งและอยู่ได้นาน 2-6 เดือน โดยดอกจะบานแค่ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ดอกกล้วยไม้ราตรีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น จึงพบเห็นได้ง่ายในพื้นที่ราบต่ำของประเทศอินโดนีเซีย


ดอกจำปาลาว 
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People’s Democratic Republic)
              ดอกไม้ประจำชาติประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศลาว คือ ดอกจำปาลาว (Dok Champa) คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ดอกลีลาวดี หรือ ดอกลั่นทม โดยดอกจำปาลาวมักมีสีสันหลากหลาย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเพียงสีขาวเท่านั้น เช่น สีชมพู สีเหลือง สีแดง หรือสีโทนอ่อนต่าง ๆ โดยดอกจำปาลาวนั้นเป็นตัวแทนของความสุขและความจริงใจ จึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อประดับประดาในงานพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพวงมาลัยเพื่อรับแขกอีกด้วย


ดอกพู่ระหง
 ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)
              สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น มีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกพู่ระหง (Bunga Raya) ในภาษาท้องถิ่นเรียกกันว่า บุหงารายอ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ดอกชบาสีแดง ลักษณะกลีบดอกเป็นสีแดง มีเกสรยื่นยาวออกมาเหนือดอก ซึ่งถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซีย เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและความอดทนในชาติ โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้สูงส่งและสง่างาม รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์และความงามได้อีกด้วย


ดอกพุดแก้ว
สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)
              ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ คือ ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ดอกมีสีขาวกลีบดอกเป็นรูปดาว มีกลิ่นหอม บานส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงความเข้มแข็งอีกด้วย เคยถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่ารวมทั้งบทเพลงของฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน


ดอกกล้วยไม้แวนด้า
สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) 
              ประเทศสิงคโปร์ มี ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกกล้วยไม้แวนด้าตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim จัดเป็นดอกกล้วยไม้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสีม่วงสดสวยงามและเบ่งบานอยู่ตลอดทั้งปี โดยถูกจัดให้เป็นดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981      (พ.ศ. 2524)


ดอกราชพฤกษ์
ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) 
              ดอกไม้ประจำชาติไทยของเรา คือ ดอกราชพฤกษ์ (Ratchaphruek) ที่มีสีเหลืองสวยสง่างาม เมื่อเบ่งบานแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งชาวไทยรู้จักกันดีในนามของ ดอกคูน โดยมีความเชื่อว่าสีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์คือสีแห่งพระพุทธศาสนาและความรุ่งโรจน์ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอีกด้วย โดยดอกราชพฤกษ์จะเบ่งบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์พฤษภาคม มีจุดเด่นเวลาเบ่งบานคือการผลัดใบออกจนหมดต้น เหลือไว้เพียงแค่สีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์เท่านั้น


ดอกบัว
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam) 
              ประเทศเวียดนาม มีดอกไม้ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง ดอกบัว (Lotus) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกบัวเป็นที่รู้จักกันในนาม ดอกไม้แห่งรุ่งอรุณเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี ดอกบัวจึงมักถูกกล่าวถึงในบทกลอนและเพลงพื้นเมืองของชาวเวียดนามอยู่บ่อยครั้ง


ดอกประดู่
สหภาพพม่า (Union of Myanmar) 

              ดอกไม้ประจำชาติของประเทศพม่า คือ ดอกประดู่ (Paduak) เป็นดอกไม้ที่พบมากในประเทศพม่า มีสีเหลืองทอง ผลิดอกและส่งกลิ่นหอมในฤดูฝนแรก ช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศพม่ามีการเฉลิมฉลองปีใหม่ขึ้น ชาวพม่าเชื่อว่าดอกประดู่คือสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความทนทาน และเป็นดอกไม้ที่ขาดไม่ได้ในพิธีทางศาสนาของชาวพม่าเลยล่ะ

แหล่งที่มา : http://aec.kapook.com/view50379.html

อาหารประจำชาติอาเซียน

ประเทศไทย


              ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong) เป็นอาหารที่โด่งดังมากที่สุดของประเทศไทย ชาวต่างชาติจะรู้จักต้มยำกุ้งมากกว่าต้มยำชนิดอื่น ๆ การปรุงต้มยำกุ้งจะเน้นรสชาติเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก จะออกเค็มและหวานเล็กน้อย มีเครื่องเทศที่ใส่ในน้ำแกงที่สำคัญคือ ใบมะกรูด ตะไคร้ ส่วนผักที่นิยมใส่ในต้มยำ ได้แก่ มะเขือเทศ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า ใบผักชี ส่วนเครื่องปรุงที่จำเป็นต้องใส่ คือ มะนาว น้ำปลา น้ำตาล และน้ำพริกเผา

ประเทศกัมพูชา


              อาม็อก (Amok) มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย  ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของประเทศกัมพูชา ทำมาจากเนื้อปลาสดๆที่นำมาลวกกับเครื่องแกงและกะทิ แล้วจึงนำไปนึงให้สุก

 3. ประเทศบรูไน


           อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารที่ทำจากแป้งสาคู มีลักษณะคล้ายๆข้าวต้มหรืโจ๊ก ตัวแป้งจะไม่มีรสชาติจึงต้องทานคู่กับซอสผลไม้ และต้องมีเครื่องเคียงตามชอบ เช่น ผักสด เนื้อย่าง เนื้อทอด ปลาย่าง 

 ประเทศพม่า  


          หล่าเพ็ด ( Lahpet ) มีลักษณะคล้ายๆกับเมี่ยงคำของประเทศไทย เป็นอาหารที่ทำจากใบชาด้วยการนำมาหมัก ทานคู่กับกระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่างๆ กุ้งแห้ง งา มะพร้าวคั่ว ซึ่งหล่าเห็ดจะเป็นอาหารที่สำคัญในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญของประเทศพม่า 

 ประเทศฟิลิปปินส์



               อโดโบ้ (Adobo) อาหารยอดนิยมที่ต้องลิ้มลองของประเทศฟิลิปปินส์ อโดโบ้ทำจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ โดยผ่านการหมักและปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู ชีอิ๊วขาว ใบกระวาน กระเทียม พริกไทยดำ จากนั้นนำไปอบหรือทอด ทานกับข้าวสวยร้อนๆ 

 ประเทศสิงคโปร์


            ลักซา (Laksa) อาหารที่ได้รับความนิยมที่สุดในสิงคโปร์ ซึ่งลักซาจะมีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำมี 2 รูปแบบคือ แบบไม่ใส่กะทิ และแบบใส่กะทิ ซึ่งแบบใส่กะทิจะนิยมมากกว่า 

 ประเทศอินโดนีเซีย



           กาโด กาโด (Gado Gado) เป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยผักและธัญพืชนานาชนิด ทั้งถั่วชนิดต่างๆ มันฝรั่ง แครอท และยังมีเต้าหู้และไข่ต้มสุกอีกด้วย โดยกาโด กาโดจะรับประทานคู่กับซอสถั่วที่มีลักษณะคล้ายๆกับซอสหมูสะเต๊ะ 

ประเทศลาว



          สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad)ทคล้ายกับสลัดถั่วไป คือ แตงกวา มะเขือเทศ ผักกาดหอม แต่จะพิเศษตรงที่จะเพิ่มผักน้ำ ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านที่มีเฉพาะในประเทศลาวเท่านั้น ทานคู่กับไข่ต้มและหมูสับลวกสุก ราดด้วยสลัดน้ำใสพร้อมโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและถั่วลิสงคั่ว

ประเทศมาเลเซีย


          นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารขึ้นชื่อของประเทศมาเลเซีย เป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยข้าวที่หุงกับกะทิและใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง 4 อย่าง คือ แตงกวาหั่น ถั่วอบ ไข่ต้มสุก และปลากะตักทอดกรอบ 

  ประเทศเวียดนาม 


           เปาะเปี๊ยะเวียดนาม (Vietnamese Spring Rolls) เป็นอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเวียดนาม แผ่นเปาะเปี๊ยะทำจากแผ่นแป้งที่ทำจากข้าวเจ้า โดยไส้เปาะเปี๊ยะอาจเป็นไก่ หมู กุ้ง ห่อรวมกับผักต่าง ๆ นับเป็นอาหารยอดนิยมที่สามารถรับประทานได้ทั่วไปในเวียดนาม


แหล่งที่มา : http://www.pakping.com

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชุดประจำอาเซียน

1. ชุดประจำชาติของประเทศมาเลเซีย





              สำหรับชุดประจำชาติมาเลเซียของผู้ชาย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ประกอบด้วยเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าไหม ผ้าฝ้าย หรือโพลีเอสเตอร์ที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้าย ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) ประกอบด้วยเสื้อคลุมแขนยาว และกระโปรงยาว

2. ชุดประจำชาติของประเทศเวียดนาม




             อ่าวหญ่าย (Ao dai) เป็นชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัวสวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงานและพิธีการสำคัญของประเทศ มีลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงเวียดนาม ส่วนผู้ชายเวียดนามจะสวมใส่ชุดอ่าวหญ่ายในพิธีแต่งงาน หรือพิธีศพ


3. ชุดประจำชาติของประเทศพม่า



              ชุดประจำชาติของชาวพม่าเรียกว่า ลองยี (Longyi) เป็นผ้าโสร่งที่นุ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในวาระพิเศษต่าง ๆ ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดารินและเสื้อคลุมไม่มีปก บางครั้งจะใส่ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) ด้วย ส่วนผู้หญิงพม่าจะใส่เสื้อติดกระดุมหน้าเรียกว่า ยินซี (Yinzi) หรือเสื้อติดกระดุมข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) และใส่ผ้าคลุมไหล่ทับ


4. ชุดประจำชาติของประเทศบรูไน



            ชุดประจำชาติของบรูไนคล้ายกับชุดประจำชาติของผู้ชายประเทศมาเลเซีย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) แต่ผู้หญิงบรูไนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส โดยมากมักจะเป็นเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ส่วนผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงเข่า นุ่งกางเกงขายาวแล้วนุ่งโสร่ง เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมสังคมแบบอนุรักษ์นิยม เพราะบรูไนเป็นประเทศมุสสิม จึงต้องแต่งกายมิดชิดและสุภาพเรียบร้อย


5. ชุดประจำชาติของประเทศลาว 



              ผู้หญิงลาวนุ่งผ้าซิ่น และใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก สำหรับผู้ชายมักแต่งกายแบบสากล หรือนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อชั้นนอกกระดุมเจ็ดเม็ด คล้ายเสื้อพระราชทานของไทย
6. ชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซีย



              เกบาย่า (Kebaya) เป็นชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซียสำหรับผู้หญิง มีลักษณะเป็นเสื้อแขนยาว ผ่าหน้า กลัดกระดุม ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ ส่วนผ้าถุงที่ใช้จะเป็นผ้าถุงแบบบาติก ส่วนการแต่งกายของผู้ชายมักจะสวมใส่เสื้อแบบบาติกและนุ่งกางเกงขายาวหรือเตลุก เบสคาพ (Teluk Beskap) ซึ่งเป็นการแต่งกายแบบผสมผสานระหว่างเสื้อคลุมสั้นแบบชวาและโสร่ง และนุ่งโสร่งเมื่ออยู่บ้านหรือประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด
7. ชุดประจำชาติของประเทศฟิลิปปินส์



             ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวและสวมเสื้อที่เรียกว่า บารอง ตากาล็อก (barong Tagalog)ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าใยสัปปะรด มีบ่า คอตั้ง แขนยาว ที่ปลายแขนเสื้อที่ข้อมือจะปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปรงยาว ใส่เสื้อสีครีมแขนสั้นจับจีบยกตั้งขึ้นเหนือไหล่คล้ายปีกผีเสื้อ เรียกว่า บาลินตาวัก (balintawak)
8. ชุดประจำชาติของประเทศไทย



             สำหรับชุดประจำชาติอย่างเป็นทางการของไทย รู้จักกันในนามว่า ชุดไทยพระราชนิยมโดยชุดประจำชาติสำหรับสุภาพบุรุษ จะเรียกว่า เสื้อพระราชทาน
สำหรับสุภาพสตรีจะเป็นชุดไทยที่ประกอบด้วยสไบเฉียง ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว ซิ่นมีจีบยกข้างหน้า มีชายพกใช้เข็มขัดไทยคาด ส่วนท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บให้ติดกับซิ่นเป็นท่อนเดียวกันหรือ จะมีผ้าสไบห่มต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ทิ้งชายด้านหลังยาวตามที่เห็นสมควร ความสวยงามอยู่ที่เนื้อผ้าการเย็บและรูปทรงของผู้ที่สวม ใช้เครื่องประดับได้งดงามสมโอกาสในเวลาค่ำคืน
9. ชุดประจำชาติของประเทศกัมพูชา





             ชุดประจำชาติของกัมพูชาคือ ซัมปอต (Sampot) หรือผ้านุ่งกัมพูชา ทอด้วยมือ มีทั้งแบบหลวมและแบบพอดี คาดทับเสื้อบริเวณเอว ผ้าที่ใช้มักทำจากไหมหรือฝ้าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซัมปอตสำหรับผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกับผ้านุ่งของประเทศลาวและไทย ทั้งนี้ ซัมปอดมีหลายแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันจะใช้วัสดุราคาไม่สูง ซึ่งจะส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น นิยมทำลวดลายตามขวาง ถ้าเป็นชนิดหรูหราจะทอด้ายเงินและด้ายทอง
10. ชุดประจำชาติประเทศสิงคโปร์



             สิงคโปร์ไม่มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เนื่องจากประเทศสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 4 เชื้อชาติหลัก ๆ ได้แก่ จีน มาเลย์ อินเดีย และชาวยุโรป ซึ่งแต่ละเชื้อชาติก็มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เช่น ผู้หญิงมลายูในสิงคโปร์ จะใส่ชุดเกบาย่า (Kebaya) ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ หากเป็นชาวจีน ก็จะสวมเสื้อแขนยาว คอจีน เสื้อผ้าหน้าซ่อนกระดุม สวมกางเกงขายาว โดยเสื้อจะใช้ผ้าสีเรียบหรือผ้าแพรจีนก็ได้

แหล่งที่มา : http://hilight.kapook.com/view/73561